วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2560

วิชาคณิตศาตร์ สูตรคูณแม่2-แม่12

สูตรคูณแม่2-แม่12

 ขอบคุณที่มาจาก คลิก



สูตรคูณไม่ยากอย่างที่คิด

       ถ้าพูดถึงสูตรคูณคงจะรุ้จักเพราะหลายๆคนก่อนจะมาถึงทุกวันนี้ก็ท่องสูตรคูณกันมาก่อนทั้งนั้น โดยเฉพราะในช่วงกำลังศึกษา อยู่ประถมศึกษา เป็นอีกหนึ่งภารกิจที่เราต้องใช้ความพยายามในการท่องไม่ใช่น้อยๆ เพราะตอนนั้นยากมาก (สำหรับผม) ถือได้ว่าเป็นพื้นฐานสำหรับคนที่เรียนวิชาคณิตศาสตร์เลยก็ว่าได้ เพราะมันจะช่วยให้เราพัฒนาต่อยอดได้เร็วยิ่งขึ้น ถ้าใครไม่แม่นเรื่องสูตรคูณละก็ได้ พูดได้ว่ารับบากกันเลยทีเดียวตอนที่เรียนคณิตศาสตร์ระดับหนึ่งแล้ว

       พูดถึงประโยชน์ของการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ จะเห็นได้จากในชีวิตประจำวันโดยเฉพราะคนทำมาหากินที่เน้นเกี่ยวกับการขายสินค้า สูตรคูณจะช่วยคยที่ทำงาน ด้านการค้าขายคำนวนราคาสินค้าได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะเหตุนี้มันจึงจำเป็นที่เราไม่ควรที่จะมองข้ามเรื่องพวกนี้แล้วหันมาใส่ใจ ให้มากขึ้นด้วย เพราะไม่ว่าจะยังไงซักวันหนึ่งเราคงจะต้องเจอกันแน่ ๆ แล้วถ้าเราสามารถจำวสิ่งเหล่านี้ได้ มันก็ทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน


ฝึกท่องสูตรคูณง่ายนิดเดียว!! ตั้งแต่แม่ 2 ถึงแม่ 12


สำหรับวิชาคณิศาสตร์ สิ่งที่จำเป็นและสำคัญมากที่สุดก็คือการคิดคำนวณ ไม่ว่าจะเป็น การบวก การลบ การคูณ หรือการหาร หากน้องไม่มีพื้นด้านความคิด ขาดทักษะการคำนวณที่ไม่ดี การที่เราจะเรียนคณิตศาสตร์ให้ดีนั้นเป็นไปได้ยาก โดยเฉพราะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ชอบท่องจำแบบดื้อๆ โดยที่ไม่เข้าใจหลักการและเหตุผล เช่นการท่องสู่ตรคูณโดยที่ขาดความเข้าใจ ตั้งแต่ แม่ 2 จนถึง แม่ 12 ยิ่งสร้างความไม่เข้าใจและทำให้ตัวเองสับสนว่าเราชอบคณิตศาสตร์หรือไม่ อาจจะทำให้น้องๆ เกียจวิชาคณิตศาสตร์โดยปริยาย
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สูตรคูณ
ตารางสูตรคูณ
ขอบคุณรูปภาพจาก คลิก

ขอบคุณแหล่งที่มา  QUIZFORKID.COM 

วิชาภาษาไทย เรื่อง พระอภัยมณี ตอนกำเนิดสุดสาคร

เรื่อง พระอภัยมณี  ตอน กำเนิดสุดสาคร



รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
นางเงือกและพระอภัยมณี
ขอบคุณรูปภาพจาก คลิก
        ท้าวสุทัศน์และพระนางประทุมเกสร ผู้ครองกรุงรัตนา มีพระโอรสสององค์ คือ พระอภัยมณี และศรีสุวรรณ ได้รับสั่งให้โอรสทั้งสองไปเรียนศิลปวิทยา ในที่สุดพระอภัยมณีได้เรียนวิชาปี่ ขณะที่ศรีสุวรรณได้เรียนวิชากระบี่กระบอง เมื่อสำเร็จวิชา ก็ได้กลับคืนพระนคร ทว่าพระบิดาทรงกริ้ว ด้วยพระโอรสไปเรียนวิชาชั้นต่ำ ไม่คู่ควรแก่กษัตริย์ จึงไล่ทั้งสองออกจากพระนคร

       ทั้งสองเดินทางมาถึงชายทะเล ได้พบกับสามพราหมณ์คือ โมรา สานนท์ และวิเชียร ได้สมัครเป็นมิตรกัน แล้วพระอภัยมณีเป่าปี่ให้คนทั้งหมดฟัง ทั้งหมดเคลิบเคลิ้มตามเพลงปี่จนหลับไป เพลงปี่ดังไปถึงนางผีเสื้อสมุทรที่อาศัยอยู่ในทะเล เมื่อตามเสียงปี่มาพบพระอภัยมณีก็หลงรัก จึงลักพาตัวพระอภัยมณีไปอยู่กับนางบนเกาะ แล้วจำแลงร่างเป็นหญิงสาวสวยงาม แม้พระอภัยรู้อยู่ว่านั่นคือนางยักษ์ แต่ก็ไม่สามารถหนีไปไหนได้ ทั้งสองอยู่กินกันมาจนนางผีเสื้อให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ชื่อว่า สินสมุทร

       ด้านศรีสุวรรณกับสามพราหมณ์เมื่อตื่นขึ้นมาไม่พบพระอภัยมณีก็เที่ยวค้นหา จนไปถึงเมืองรมจักรพบศึกติดพัน ศรีสุวรรณกับสามพราหมณ์ช่วยรบป้องกันเมืองได้ ได้พบนางเกษราธิดาของเจ้าเมือง ต่อมาศรีสุวรรณได้อภิเษกนางเกษรา มีพระธิดาชื่อนางอรุณรัศมี




รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
สินสมุทร
ขอบคุณรูปภาพจาก คลิก


       วันหนึ่งสินสมุทรออกไปเที่ยวเล่นเจอพ่อเงือกแม่เงือก จึงจับตัวมาให้พระอภัยดู พ่อเงือกแม่เงือกวอนขอชีวิตโดยเสนอจะพาพระอภัยหนี พระอภัยจึงออกอุบายให้นางผีเสื้อไปถือศีลบนเขาสามวัน ระหว่างนั้นเขาก็พาสินสมุทรหนี พ่อเงือกแม่เงือกพาพระอภัยและสินสมุทรมาเกือบถึงเกาะแก้วพิสดารแล้ว แต่นางผีเสื้อรู้ตัวติดตามมาทัน จับพ่อเงือกแม่เงือกฆ่าเสีย นางเงือกผู้ลูกพาพระอภัยกับสินสมุทรหนีไปจนถึงเกาะแก้วพิสดารได้สำเร็จ บนเกาะนี้มีพระฤๅษีมีฤทธิ์มาก นางผีเสื้อจึงไม่กล้าทำอะไร ทั้งหมดอาศัยอยู่บนเกาะแก้วพิสดาร พระอภัยได้นางเงือกเป็นภริยา



รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
นางเงือก
ขอบคุณรูปภาพจาก คลิก

        นางเงือกให้กำเนิดบุตรชื่อ สุดสาคร เป็นเด็กฉลาดแข็งแรง วันหนึ่งสุดสาครจับม้านิลมังกรได้ พระฤๅษีสอนวิชาให้แล้วเล่าเรื่องพระอภัยมณีให้ฟัง สุดสาครออกเดินทางตามหาพระอภัยมณีจนไปถึงเมืองการเวก ระหว่างทางถูกชีเปลือยหลอกขโมยไม้เท้าและม้านิลมังกรไป แต่พระฤๅษีมาช่วยไว้ เมื่อชิงไม้เท้าและม้านิลมังกรคืนมาได้ ก็เข้าเมืองการเวก กษัตริย์เจ้าเมืองรักใคร่เอ็นดูสุดสาคร จึงเลี้ยงดูเป็นโอรสบุญธรรมอยู่ด้วยกันกับนางเสาวคนธ์และหัสไชยพระธิดาและพระโอรส จนเติบใหญ่ สุดสาครคิดออกตามหาพ่อ เจ้าเมืองการเวกจึงจัดกองเรือให้ โดยมีนางเสาวคนธ์และหัสไชยติดตามไปด้วย ทั้งหมดล่องเรือไปถึงเมืองผลึกขณะถูกทัพลังกาและทัพพันธมิตรล้อมเมือง
  

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เรื่องพระอภัยมณี
สุดสาคร
ขอบคุณรูปภาพจาก คลิก

       พระอภัยมณี ศรีสุวรรณ สินสมุทร และสุดสาคร ช่วยเมืองผลึกรบจนสามารถเอาชนะทัพอื่น ๆ ได้ พระอภัยมณีได้รูปวาดนางละเวงที่ลงเสน่ห์ทำให้เมืองต่าง ๆ พากันยกมารบเมืองผลึกตามคำขอนางนาง แล้วเกิดต้องมนต์ของนางละเวงเสียเอง พระอภัยยกทัพตามไปตีเมืองลังกา แต่รบกันเท่าใดก็ไม่แพ้ชนะเสียที ต่อมาพระอภัยมณีลอบติดรถนางละเวงเข้าไปในวัง เมื่อนางละเวงได้พบพระอภัยก็ฆ่าไม่ลง กลับหลงรักจนได้เป็นสามีภรรยากัน ส่วนบริวารอื่นของนางละเวงคือนางยุพาผกา รำภาสะหรี และสุลาลีวัน ใช้เสน่ห์กับฝ่ายพระอภัยมณี ได้แก่ ศรีสุวรรณ สินสมุทร และแม้แต่สุดสาครที่ครองตนเป็นฤๅษีก็ต้องมนต์ไปด้วย จนทั้งหมดหลงมัวเมาติดพันอยู่ในลังกาไม่ยอมกลับเมืองผลึก นางสุวรรณมาลีกับอรุณรัศมีและเสาวคนธ์จึงมาตาม แต่ไม่เป็นผล จนต้องให้หัสไชยช่วยแก้เสน่ห์ให้ลุงและเหล่าพี่ กษัตริย์ทั้งหมดยอมสงบศึกต่อกัน แต่นางเสาวคนธ์แค้นสุดสาครจึงหนีไปเมืองวาหุโลม สุดสาครต้องติดตามไปจนภายหลังจึงได้อภิเษกกัน

       ด้านกรุงรัตนา ท้าวสุทัศน์สิ้นพระชนม์ พระอภัยมณีกับเหล่ากษัตริย์จึงเดินทางไปทำศพ มังคลาบุตรของพระอภัยมณีกับนางละเวงได้ครองเมืองลังกา แต่ถูกบาทหลวงยุแหย่จึงแค้นเคืองเหล่ากษัตริย์ จับตัวนางสุวรรณมาลีและพระญาติมาขังไว้ หัสไชยกับสุดสาครยกทัพมาช่วยแต่ไม่สำเร็จ แม้แต่นางละเวงผู้เป็นมารดาเองก็ห้ามปรามไม่ได้ พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณยกทัพตามมาจึงเอาชนะศึกได้ จบศึกแล้วพระอภัยมณีอภิเษกโอรสทั้งหลายให้ครองเมืองต่าง ๆ แล้วออกบวชพร้อมกับนางละเวงและนางสุวรรณมาลี





ขอบคุณแหล่งที่มาคุณ phetploy2211

เทคโนโลยีการขนส่ง

เทคโนโลยีการขนส่ง



รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
ขอบคุณภาพจาก click!


พัฒนาการของเทคโนโลยีการขนส่ง
ในชีวิตประจาวันของเรานั้นเกี่ยวข้องกับการเดินทางอยู่ตลอด ทั้งการเดินทางไปทางาน การเดินทางกลับภูมิลาเนา การเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ ฯลฯ การเดินทางจัดได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการขนส่งโดยเน้นความสาคัญอยู่ที่คน อย่างไรก็ตาม หากกล่าวถึงการขนส่งจะไม่ได้มีหมายความเฉพาะแต่บุคคล แต่ยังรวมไปถึงสัตว์ และสิ่งของอีกด้วย ในหัวข้อนี้จะถึงความหมายของการขนส่ง พัฒนาการของเทคโนโลยีการขนส่งตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน


ความหมายของการขนส่ง

     สารานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถานให้คาจากัดความของ คำว่า ขน คือ การนาเอาของจานวนมากๆ จากที่หนึ่งไปไว้อีกที่หนึ่ง และ ส่ง คือ การยื่นให้ถึงมือหรือพาไปให้ถึงที่ เมื่อรวมทั้งสองคาเข้าด้วยกันคำว่า การขนส่งหรือขนส่ง (transportation หรือ transportจึงหมายถึง การนาเอาของจานวนหนึ่ง จากที่หนึ่งไปยื่นให้ถึงมือหรือพาไปถึงปลายทาง ตามพระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ. 2497 มาตรา 4 ได้นิยามคาว่า การขนส่ง คือ การลาเลียงหรือเคลื่อนย้ายบุคคลหรือสิ่งของด้วยเครื่องมือ อุปกรณ์การขนส่ง ซึ่งอุปกรณ์การขนส่งในที่นี้หมายถึง ยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งรวมถึงเครื่องทุนแรงด้วย ในมุมมองทางเศรษฐศาสตร์ การขนส่ง คือ กิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างหนึ่งที่จัดให้มีการเคลื่อนย้าย คน สัตว์ หรือสิ่งของ จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง จากความหมายของการขนส่งตามบริบทต่างๆ ตามที่กล่าวข้างต้นพอสรุปได้ว่า การขนส่งจึงหมายถึง การจัดให้มีการเคลื่อนย้ายบุคคล สัตว์ หรือสิ่งของจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่งโดยการใช้เครื่องมือหรือพาหนะอย่างใดอยางหนึ่ง ถ้าเป็นการขนส่งบุคคล เรียกว่า การขนส่งผู้โดนสาร และถ้าเป็นการขนส่งสัตว์หรือสิ่งของจะเรียกว่า การขนส่ง


ยุคของเทคโนโลยีการขนส่ง           การขนส่งมีการพัฒนาโดยตลอดเริ่มตั้งแต่มนุษย์อาศัยพลังงานจากธรรมชาติ ตลอดจนใช้กาลังสัตว์เป็นพาหนะในการเดินทาง เมื่อความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมเจริญก้าวหน้ามากขึ้นมนุษย์จึงได้นาความรู้มาประยุกต์ใช้ในด้านการขนส่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับยานพาหนะหรือเครื่องมือประเภทต่างๆ ยุคของการพัฒนาการขนส่งอาจแบ่งตามเทคโนโลยีของยานพาหนะที่ใช้เป็น 7 ยุคดังนี้



รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
สุนัขลากเลื่อน
ขอบคุณภาพจาก คลิก

      1.
 ยุคที่ใช้พลังงานจากธรรมชาติ 
เป็นยุคแรกของการขนส่งซึ่งรวมถึงการใช้กำลังของสัตว์ในการลากจูง เช่น การใช้กวางเรนเดียร์ หรือฝูงหมาป่าเพื่อลากรถไปบนหิมะ หรือการใช้แรงลมเพื่อการแล่นเรือใบของชาวไวกิ้งแห่งคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย เป็นต้น การเดินทางในยุคแรกนี้สามารถบรรทุกสิ่งของหรือคนได้จานวนจากัด และต้องใช้กาลังสัตว์เป็นจานวนมากเมื่อเทียบกับปริมาณสิ่งของที่ต้องการบรรทุก



รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
รถม้า
ขอบคุณรูปภาพจาก คลิก

      2.
 ยุควงล้อ 
เป็นยุคที่มนุษย์เริ่มรู้จักประดิษฐ์วงล้อใช้เป็นอุปกรณ์ช่วยในการลากจูง ทาให้เพิ่มความ สามารถในการบรรทุกสิ่งของและเดินทางได้ระยะไกลมากขึ้น แต่ยังคงใช้แรงจากสัตว์ในการลากจูงเหมือนเดิม

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ หัวรถจักรไอน้ำ
หัวรถจักรไอน้ำ
ขอบคุณรูปภาพจาก คลิก

      3. ยุคเครื่องจักรไอน้า เกิดขึ้นในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรมโดย เจมส์ วัตต์ (James Watt พ.ศ. 2279– 2360) เป็นผู้คิดค้นเครื่องจักรไอน้า (steam engine) ซึ่งนามาใช้ในการขนส่งทั้งทางบกและทางน้า เช่น ใช้ในการเดินเรือประมาณศตวรรษที่ 18 และนามาใช้กับหัวรถจักรในต้นศตวรรษที่ 19 ในยุคนี้มีการขยายตัวและพัฒนาระบบการขนส่งอย่างรวดเร็ว
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
รถราง
ขอบคุณณุปภาพจาก คลิก


      4.
 ยุคมอเตอร์ไฟฟ้า 
เป็นยุคที่มนุษย์ได้คิดประดิษฐ์มอเตอร์ไฟฟ้าขึ้นแล้วนามาใช้โดยเฉพาะกับการขนส่งทางบกในอดีต เช่น รถราง ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการขนส่งคนในระยะใกล้และในปัจจุบันยังใช้กันอยู่ในหลายประเทศ



      5. ยุคเครื่องยนต์สันดาปภายใน เป็นยุคที่มนุษย์รู้จักนาความรู้ด้านการสันดาปภายใน (internal combustion) ของเครื่องยนต์มาประยุกต์ใช้เป็นต้นกาลังของการขนส่งโดยนาเชื้อเพลิงน้ามันหรือแก๊สมาใช้ประโยชน์ ซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งการขนส่ง ทางบก ทางน้า และทางอากาศ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เครื่องบินไอพ่น
เครื่องบินไอพ่น
ขอบคุณณุปภาพจาก คลิก


      6. ยุคไอพ่นและจรวด เริ่มต้นประมาณต้นศตวรรษที่ 20 เป็นยุคที่มนุษย์แข่งขันกันในรูปของความเร็ว ซึ่งต่อเนื่องจากยุคเครื่องยนต์สันดาปภายใน โดยเน้นด้านการขนส่งทางอากาศซึ่งต้องการความรวดเร็ว จึงทาให้ประหยัดเวลาในการขนส่งสินค้าและคน และยังเกี่ยวโยงกับธุรกิจด้านที่พักในแหล่งท่องเที่ยว การจัดกิจกรรมและการขายเพื่อการบริการด้านการท่องเที่ยว
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ นิวเคลียร์ทางการทหาร
หัวรบนิวเคลียร์
ขอบคุณรูปภาพจาก คลิก


      7. ยุคนิวเคลียร์ เป็นอีกยุคหนึ่งที่มนุษย์นาความรู้ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ทางด้านเคมีเชิงฟิสิกส์ (Physical Chemistry) และฟิสิกส์นิวเคลียร์ (Nuclear Physics) เข้ามาช่วยในการขนส่ง แต่เป็นการลงทุนที่สูงมาก จึงทาให้เทคโนโลยีการขนส่งนี้จากัดอยู่กับการใช้งานด้านการทหาร และการค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์เป็นส่วนใหญ่


องค์ประกอบของการขนส่ง

จากความหมายข้างต้นทาให้ทราบว่า การขนส่งเป็นการจัดกิจกรรมการบริการใน 2 รูปแบบคือ การขนส่งสินค้าได้แก่ อาหาร เสื้อผ้า ยารักษาโรค เครื่องใช้ในชีวิตประจาวัน ไปรษณียภัณฑ์ ฯลฯ และอีกรูปแบบคือ การขนส่งผู้โดยสาร ได้แก่ บุคคลซึ่งอาจหมายถึงบุคคลคนเดียวหรือหมู่คณะ การดาเนินการหนึ่งๆ จะเรียกว่าเป็นการขนส่งได้นั้น ต้องมีองค์ประกอบครบทั้ง 5 ประการคือ สิ่งที่ขนส่ง ยานพาหนะและหน่วยบรรทุก เส้นทาง สถานีหรืออาคารที่พักผู้โดยสาร และผู้ประกอบการ

      1. สิ่งที่ขนส่ง จาแนกได้เป็น 2 ประเภทคือ คนกับสัตว์หรือสิ่งของ ในกรณีที่เป็นคนจะเรียกว่า การขนส่งผู้โดยสาร (passenger transport)  ในกรณีที่เป็นสัตว์หรือสิ่งของจะเรียกว่า การขนส่งสินค้า (freight transport)

     2. ยานพาหนะ (vehicle) และหน่วยบรรทุก จาแนกตามรูปแบบการขนส่งได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้
               2.1 การขนส่งทางบก (land transportation) เช่น รถยนต์ รถบรรทุก รถโดยสาร รถรางไฟฟ้า รถไฟ หรือ ช้าง ม้า ลา อูฐ เกวียน เป็นต้น
              2.2 การขนส่งทางน้า (water or maritime transportation) เช่น เรือโดยสาร เรือบรรทุกสินค้า
             2.3 การขนส่งทางอากาศ (air transportation) เช่น เครื่องบิน บอลลูน กระสวยอวกาศ
            2.4 การขนส่งทางท่อ (pipeline transportation) ใช้ในการขนส่งของไหล น้ามันหรือแก๊ส
     3. เส้นทาง (Route, Way หรือ Path) ที่ใช้สาหรับการขนส่ง แบ่งได้เป็น 3 ประเภทดังนี้
            3.1 เส้นทางที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ (natural way) เช่น ทะเลและมหาสมุทร ส่วนใหญ่ใช้เป็นเส้นทางขนส่งระหว่างประเทศ สาหรับน่านฟ้าหรือเส้นทางอากาศ สามารถติดต่อได้ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ
           3.2 เส้นทางที่ดัดแปลงขึ้นจากธรรมชาติ (artificial improved natural way)  เช่น ลาคลอง แม่น้า เป็นต้น โดยมากใช้เป็นเส้นทางขนส่งภายในประเทศ
          3.3 เส้นทางที่สร้างขึ้น (artificial way)  เช่น ถนน รางรถไฟ หรือท่อสาหรับการลาเลียงแก๊สหรือของเหลวอื่นๆ

     4. สถานีหรืออาคารที่พักผู้โดยสาร (station หรือ terminal) เป็นบริเวณที่ใช้สาหรับขนถ่ายสิ่งที่ต้องการขนส่งขึ้นหรือลงจากยานพาหนะ ในกรณีที่เป็นการขนส่งผู้โดยสารสถานที่ดังกล่าวยังเป็นบริเวณที่ใช้สาหรับรอใช้บริการเปลี่ยนรูปแบบการเดินทาง โดยทั่วไปสถานีจะอยู่ที่จุดเริ่มต้นและจุดปลายทางของการขนส่ง ประเภทของสถานีจะขึ้นอยู่กับลักษณะเส้นทางและยานพาหนะในการขนส่ง ตัวอย่างเช่น สถานีของการขนส่งทางบก ได้แก่ สถานีขนส่งรถประจาทาง สถานีรถไฟ สถานีของการขนส่งทางน้า ได้แก่ ท่าเรือ ท่าเรือน้าลึก สะพานปลา สถานีของการขนส่งทางอากาศ ได้แก่ สนามบิน เป็นต้น

     5. ผู้ประกอบการ (carrier) คือ ผู้ที่ให้บริการการขนส่งอาจจะเป็นรัฐบาล หรือเอกชนผู้ให้บริการอาจได้รับค่าจ้าง ถ้าดาเนินการในลักษณะของธุรกิจ หรือไม่ได้รับผลตอบแทน ถ้าดาเนินการเพื่อส่วนบุคคล


ความสาคัญของการขนส่ง
          การเดินทางหรือการขนส่งที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งต้องอ้างอิงกับกิจกรรมของผู้ที่ทาให้เกิดการเดินทางหรือขนส่งนั้น ด้วยเหตุนี้การเดินทางหรือขนส่งจึงเป็นสิ่งที่สืบเนื่องมาจากกิจกรรมที่ผู้ก่อให้เกิดการเดินทางมีความประสงค์ที่ จะกระทา โดยทั่วไปสามารถจาแนกการเดินทางตามวัตถุประสงค์ต่างๆ ได้ 7 ประเภทคือ การเดินทางเพื่อประกอบอาชีพ การเดินทางเพื่อกลับบ้าน การเดินทางเพื่อไปศึกษา การเดินทางเพื่อซื้อสินค้า การเดินทางเพื่อธุรกิจส่วนตัว การเดินทางเพื่อติดต่อสังสรรค์กับผู้อื่น และการเดินทางเพื่อท่องเที่ยว  
จึงกล่าวได้ว่า การขนส่งเป็นองค์ประกอบหลักของชุมชนที่มีความสาคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจ บทบาทสาคัญของการขนส่งคือ การให้บริการหรืออานวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายคนหรือสินค้าจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่งที่ต้องการ เนื่องจากระบบขนส่งทาหน้าที่เชื่อมโยงกิจกรรมต่างๆ ของชุมชนเข้าด้วยกัน ระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพจะส่งผลให้การดาเนินงานหรือการพัฒนาด้านต่างๆ ในชุมชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตามไปด้วย ความสาคัญของการขนส่งในด้านต่างๆ มี 3 ประการดังนี้

ความสาคัญของการขนส่งต่อเศรษฐกิจของประเทศ
1. ช่วยลดต้นทุนในการผลิต ส่งผลให้ราคาสินค้าต่าลง
2. การขนส่งที่ครอบคลุมไปถึงพื้นที่ชนบท ช่วยให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงระบบขนส่งได้สะดวกทาให้สามารถขายผลผลิตทางการเกษตรได้ง่ายขึ้นเป็นการกระจายรายได้สู่ชนบท
3. ช่วยขยายโอกาสการจ้างงาน การทางาน และการค้าให้กระจายไปสู่ชุมชนอย่างทั่วถึง ทาให้คนในชุมชนมีรายได้ มีการจ้างงาน เพิ่มรายได้ และลดปัญหาการว่างงาน
4. การขนส่งระหว่างประเทศที่มีประสิทธิภาพไม่ว่าจะเป็นการขนส่งคน หรือสินค้าล้วนสร้างรายได้ให้กับประเทศเป็นเงินจานวนมหาศาลในแต่ละปี ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากการท่องเที่ยว การซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและภาษี


ความสาคัญของการขนส่งต่อชุมชนและสังคม
1. ช่วยขยายโอกาสทางการศึกษาและการจ้างงานให้กับคนในชุมชน ช่วยให้ผู้คนที่อยู่ห่างไกลเมืองได้มีโอกาสศึกษาหาความรู้ และประกอบอาชีพการงานได้ทัดเทียมกับคนที่อยู่ในเมือง
2. ช่วยลดช่องว่างของสถานะทางสังคมของคนในชุมชน ระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ จะทาให้คนในชุมชนทุกระดับชั้นสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างทั่วถึงและอย่างเท่าเทียมกัน
3. ช่วยให้ผู้คนไปมาหาสู่กันได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว เป็นการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชนให้เป็นปึกแผ่น และก่อให้เกิดความสามัคคีกันของคนในชุมชน
4. ช่วยให้เกิดการสื่อสารแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างชุมชน ไม่ว่าจะเป็นภายในภูมิภาค ระหว่างภูมิภาคหรือระหว่างประเทศ การแลกเปลี่ยนดังกล่าวเป็นการลดช่องว่างและความแตกต่างทางวัฒนธรรม ช่วยให้คนที่อยู่ต่างพื้นที่กันเกิดความเข้าใจกันมากขึ้น


ความสาคัญของการขนส่งต่อความมั่นคงของประเทศ1. ระบบขนส่งและถนนที่ครอบคลุมพื้นที่ห่างไกลความเจริญ และพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการถูกคุกคามจากผู้รุกรานนอกประเทศ ช่วยให้ประเทศเกิดความมั่นคงและมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น
2. ถนนที่เข้าสู่หมู่บ้านที่ห่างไกลบริเวณแนวชายแดนช่วยให้หน่วยงานรัฐและทหารสามารถเข้าถึงพื้นที่เหล่านี้ได้สะดวกขึ้น ส่งผลให้ผู้คนในชุมชนดังกล่าวเกิดความอุ่นใจ อีกทั้งยังทาให้สามารถดาเนินการปกป้องพื้นที่ได้อย่างทันท่วงทีเมื่อมีเหตุการณ์ไม่สงบเกิดขึ้น
3. การขนส่งที่ทั่วถึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้การปกครองบ้านเมืองเป็นไปอย่างราบรื่น เนื่องจากรัฐสามารถเข้าถึงทุกพื้นที่ของประเทศได้อย่างทั่วถึง ทาให้ทราบความเป็นไปของคนในพื้นที่และสามารถวางแนวทางในการพัฒนาชุมชนและกลยุทธ์ในการป้องกันประเทศได้อย่างเหมาะสม





ขอบคุณแหล่งที่มาจากคุณ 

     pnutty35


ประวัติศาสตร์ไทย เรื่อง พันท้ายนรสิงห์

ประวัติพันท้ายนรสิงห์
ที่มา คลิก!

   ประวัติพันท้ายนรสิงห์ นายท้ายเรือของพระเจ้าเสือ ผู้ที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์ และรักษากฎมณเฑียรบาลยิ่งกว่าชีวิตตน
        ด้วยเรื่องราวของ "พันท้ายนรสิงห์" ที่ถูกหยิบยกมาบอกเล่าทั้งในรูปแบบภาพยนตร์และละคร เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รู้ถึงความจงรักภักดี และความซื่อสัตย์ของชายคนหนึ่งที่ยอมรักษากฎเกณฑ์โดยใช้ชีวิตตนเข้าแลก เพื่อมิให้ผู้ใดครหาติเตียนพระเจ้าอยู่หัวของตนได้ว่า ทรงละเลยพระราชกำหนดของแผ่นดิน และเพื่อให้ทุกคนได้รู้จัก "พันท้ายนรสิงห์" มากขึ้น เราขอพาไปทำความรู้จักกับประวัติ พันท้ายนรสิงห์ นายทหารผู้ซื่อสัตย์
          สำหรับประวัติของ พันท้ายนรสิงห์ นั้น เดิมมีนามว่า สิน เป็นชาวบ้านนรสิงห์ แขวงเมืองวิเศษชัยชาญ (ปัจจุบัน คือ อำเภอป่าโมกข์ จังหวัดอ่างทอง) มีภรรยาชื่อว่า ศรีนวล ต่อมา ได้มีโอกาสรับราชการเป็นนายท้ายเรือพระที่นั่งเอกชัยของสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 หรือพระเจ้าเสือ แห่งกรุงศรีอยุธยา

          เรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์ถูกบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับต่าง ๆ โดยเนื้อความเป็นไปในลักษณะเดียวกันว่า พันท้ายนรสิงห์และพระเจ้าเสือพบกันเป็นครั้งแรก เมื่อพระเจ้าเสือเสด็จฯ ไปยังตำบลบ้านตลาดกรวด อันเป็นตำบลบ้านหนึ่งของแขวงเมืองวิเศษชัยชาญ ซึ่งครั้งนั้นพระเจ้าเสือได้ขึ้นชกมวยคาดเชือกกับพันท้ายนรสิงห์ ปรากฏว่า ผลการชกออกมาเสมอกัน และด้วยความที่พระเจ้าเสือรู้สึกประทับใจในตัวพันท้ายนรสิงห์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้เข้ารับราชการเป็นพัน
ท้ายนรสิงห์ ตำแหน่งนายท้ายเรือพระที่นั่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป




ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พันท้ายนรสิงห์

 ส่วนเหตุการณ์ที่ทำให้ชื่อเสียงของพันท้ายนรสิงห์กลายเป็นที่ยกย่องด้านความซื่อสัตย์นั้น มาจากเหตุการณ์ใน พ.ศ. 2246-2252 ครั้งที่สมเด็จพระเจ้าเสือ เสด็จโดยเรือพระที่นั่งเอกไชย จะไปประพาสเพื่อทรงเบ็ด ณ ปากน้ำเมืองสาครบุรี ขณะเรือพระที่นั่งถึงตำบลโคกขาม ซึ่งเป็นคลองคดเคี้ยว และมีกระแสน้ำเชี่ยวกราก พันท้ายนรสิงห์ซึ่งถือท้ายเรือพระที่นั่งมิสามารถคัดแก้ไขได้ทัน ทำให้หัวเรือพระที่นั่งชนกิ่งไม้ใหญ่หักตกลงไปในน้ำ ซึ่งพันท้ายนรสิงห์รู้ว่า ความผิดครั้งนี้มีโทษถึงประหารชีวิตตามโบราณราชประเพณี ที่กำหนดว่า "ถ้าผู้ใดถือท้ายเรือพระที่นั่งให้หัวเรือพระที่นั่งหัก ผู้นั้นถึงมรณะโทษให้ตัดศีรษะเสีย"

          พันท้ายนรสิงห์จึงกราบบังคมทูลพระเจ้าเสือให้ประหารชีวิตตามกฎมณเฑียรบาล แต่พระเจ้าเสือทรงพิจารณาเห็นว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นการสุดวิสัยมิใช่ความประมาท จึงพระราชทานอภัยโทษให้ ซึ่งพันท้ายนรสิงห์ก็ยังยืนยันขอให้ตัดศีรษะตน เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมในพระราชกำหนดกฎหมาย เป็นการป้องกันมิให้ผู้ใดครหาติเตียนพระเจ้าอยู่หัวได้ว่า ทรงละเลยพระราชกำหนดของแผ่นดิน และเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบไป

          พระเจ้าเสือ จึงโปรดให้ฝีพายทั้งปวงปั้นมูลดินเป็นรูปพันท้ายนรสิงห์ แล้วให้ตัดศีรษะรูปดินนั้นเพื่อเป็นการทดแทนกัน แต่พันท้ายนรสิงห์ยังบังคมกราบทูลยืนยันขอให้ประหารตน แม้พระเจ้าเสือจะทรงอาลัยรักน้ำใจพันท้ายนรสิงห์เพียงใด ก็ทรงจำฝืนพระทัยปฏิบัติตามพระราชกำหนด ดำรัสสั่งให้เพชฌฆาตประหารพันท้ายนรสิงห์ แล้วโปรดให้ตั้งศาลสูงประมาณเพียงตา นำศีรษะพันท้ายนรสิงห์กับหัวเรือพระที่นั่งเอกไชยซึ่งหักนั้น ขึ้นพลีกรรมไว้ด้วยกันบนศาลพันท้ายนรสิงห์ (ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ในจังหวัดสมุทรสาคร) เพื่อเป็นการรำลึกถึงพันท้ายนรสิงห์ข้าหลวงเดิมซึ่งเป็นคนซื่อสัตย์ มั่นคง ยอมเสียสละชีวิตโดยไม่ยอมเสียพระราชประเพณี

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พันท้ายนรสิงห์
รูปภาพจาก คลิก!

ต่อมา พระเจ้าเสือ พระราชดำริว่า คลองโคกขามคดเคี้ยวนักไม่สะดวกต่อการเดินเรือ บางครั้งชาวเมืองต้องเดินเรืออ้อมเป็นที่ลำบากยิ่ง สมควรจะขุดลัดตัดตรง เมื่อขุดเสร็จจึงได้รับพระราชทานนามว่า "คลองสนามไชย" ต่อมาเปลี่ยนเป็น "คลองมหาชัย" แต่ชาวบ้านเรียกว่า "คลองถ่าน" ปัจจุบันชาวบ้านฝั่งธนบุรี เรียกชื่อว่า "คลองด่าน"

          และด้วยคุณงามความดีของพันท้ายนรสิงห์ที่ถูกบอกเล่าต่อ ๆ กันมาจนถึงปัจจุบัน ก็ทำให้พันท้ายนรสิงห์กลายเป็นที่เคารพนับถือและศรัทธาของผู้คนจำนวนมาก ในด้านความจงรักภักดี ความซื่อสัตย์ที่มีต่อกฎหมายบ้านเมือง ยอมตายเพื่อมิให้กฎหมายบ้านเมืองคลายความศักดิ์สิทธิ์ ดังคำที่ว่า "ตายในหน้าที่ ดีกว่าอยู่ให้อับอาย"





ขอบคุณแหล่งที่มา จาก


วันอังคารที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2560

คำศัพท์ภาษาอังกฤษน่ารู้! เรื่อง ร่างกายของเรา (my body) ภาษาอังกฤษระดับประถมศึกษา

ร่างกายของเรา MY BODY




ที่มา :  คลิก!


คำศัพท์ เกี่ยวกับร่างกายของเรา 



รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

ที่มา :   คลิก! 

เพลง ก.ไก่-ฮ.นกฮูก ภาษาไทยระดับประถมศึกษา


เพลง ก.เอ๋ย ก.ไก่

มาฟังกันเลย!
 v
 v



ที่มา  คลิก!







ยุทธถหัตถี คืออะไร?


ยุทธถหัตถี

                             อ้างอิง : https://www.youtube.com/watch?v=JqwzQTT34m4

การกระทำยุทธหัตถีเป็นประเพณีสงครามที่รับมาจากอินเดีย โดยช้างที่ใช้ เรียกว่า "ช้างศึก" โดยมากจะนิยมเลือกใช้ช้างพลายที่กำลังตกมัน ดุร้าย ก่อนออกทำสงครามจะกรอกเหล้าเพื่อให้ช้างเมา เกิดความฮึกเหิมเต็มที่ โดยจะแต่งช้างให้พร้อมในการรบ เช่น ใส่เกราะที่งวงหรืองาเพื่อรื้อทำลายค่ายคูของฝ่ายตรงข้าม เรียกว่า "ช้างกระทืบโรง" หรือล่ามโซ่หรือหนามแหลมที่เท้าทั้งสี่ ใช้ผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดตาช้างให้เห็นแต่เฉพาะด้านหน้าเพื่อไม่ให้ช้างตกใจและเสียสมาธิ เรียกว่า "ผ้าหน้าราหู"
ตำแหน่งของผู้ที่นั่งบนหลังช้างจะมีด้วยกัน 3 คน คือ ตำแหน่งบนคอช้าง จะเป็นผู้ทำการต่อสู้ โดยอาวุธที่ใช้สู้ส่วนมากจะเป็นง้าว ตำแหน่งกลางช้าง จะเป็นตำแหน่งที่จะให้สัญญาณและส่งอาวุธที่อยู่บนสับคับให้แก่คอช้าง โดยอาวุธได้แก่ ง้าว, หอก, โตมร, หอกซัด และเครื่องป้องกันต่าง ๆ เช่น โล่ เป็นต้น และตำแหน่งควาญช้างซึ่งจะเป็นผู้บังคับช้างจะนั่งอยู่หลังสุด และหากเป็นช้างทรงของพระมหากษัตริย์ จะมีทหารฝีมือดี 4 คนประจำตำแหน่งเท้าช้างทั้ง 4 ข้างด้วย เรียกว่า "จาตุรงคบาท" ซึ่งไม่ว่าช้างทรงจะไปทางไหน จาตุรงคบาทต้องตามไปคุ้มกันด้วย หากตามไม่ทันจะมีโทษถึงชีวิต
        โดยมากแล้ว ผลแพ้ ชนะของการทำยุทธหัตถีจะขึ้นอยู่กับขนาดของช้าง ช้างที่ตัวใหญ่กว่าจะสามารถข่มขวัญช้างที่ตัวเล็กกว่า เมื่อช้างที่ตัวเล็กกว่าหนีหรือหันท้ายให้ หรือช้างตัวใดที่สามารถงัดช้างอีกตัวให้ลอยขึ้นได้ จะเปิดจุดอ่อนให้โจมตีได้ตรง ๆ การฟันด้วยของ้าวเพียงครั้งเดียวก็อาจทำให้ถึงชีวิตได้ โดยร่างอาจขาดหรือเกือบขาดเป็นสองท่อนได้ เรียกว่า "ขาดสะพายแล่ง" 


ช้างศึก

ช้างที่จะถูกจัดให้เป็นช้างศึกนั้น ต้องเป็นช้างพลาย (ช้างเพศผู้) มีลักษณะตรงตามตำราคชลักษณ์ คือ รูปร่างใหญ่โตกำยำ หัวกะโหลกหนาและใหญ่ แก้มเต็มสมบูรณ์ หน้าเชิดหลังต่ำ งายาวใหญ่มีความโค้งและแหลมคมได้ที่ โดยที่ช้างเชือกที่ฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดีและสามารถสู้เอาชนะช้างเชือกอื่นได้ จะถูกเรียกว่า "ช้างชนะงา"
นักวิชาการที่ทำการศึกษาเรื่องช้างในประเทศไทยเชื่อว่า ภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2310 ช้างต้นที่เป็นทั้ง ช้างศึกและช้างเผือก ในพระราชวังน่าจะอพยพหนีมาอยู่ยังเขาอ่างฤๅไน ซึ่งในสมัยโบราณช้างที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นช้างต้น จะอยู่ที่ ดงพญาเย็น หรือ ดงพญาไฟ ในปัจจุบัน

ในปัจจุบันนี้ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤๅไน จังหวัดฉะเชิงเทรา นักวิชาการเชื่อว่า ช้างป่าที่อาศัยอยู่ ณ ที่นี้น่าจะสืบเชื้อสายมาจากช้างศึกหรือช้างเผือกในสมัยโบราณ เพราะเนื่องจากเมื่อปี พ.ศ. 2549 เจ้าหน้าที่ของอุทยาน สามารถบันทึกภาพช้างป่าตัวผู้ ตัวหนึ่งที่มีลักษณะตรงตามลักษณะของช้างศึก และให้ชื่อช้างตัวนี้ว่า "รถถัง" และยังพบช้างป่าอีกตัวหนึ่งที่มีลักษณะตรงตามลักษณะช้างศึกอีกเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นสถานที่พบช้างเผือกในรัชกาลปัจจุบันอีกด้วย

ยุทธหัตถีในประวัติศาสตร์

ประวัติศาสตร์ไทย

การกระทำยุทธหัตถีในประวัติศาสตร์ไทย ปรากฏทั้งหมด 4 ครั้ง คือ
  1. การชนช้างระหว่างพ่อขุนรามคำแหงมหาราชกับขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด พ่อขุนรามคำแหงชนะ
  2. การชนช้างที่สะพานป่าถ่าน ระหว่างเจ้าอ้ายพระยากับเจ้ายี่พระยา เพื่อชิงราชสมบัติ ปรากฏว่าสิ้นพระชนม์ทั้งคู่
  3. ยุทธหัตถีระหว่างสมเด็จพระสุริโยทัยกับพระเจ้าแปร ในปี พ.ศ. 2091 ที่ทุ่งมะขามหย่อง อยุธยา สมเด็จพระสุริโยทัยสิ้นพระชนม์บนคอช้าง
  4. ยุทธหัตถีระหว่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับพระมหาอุปราชามังสามเกียด ในปี พ.ศ. 2135 ที่ อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ชัยชนะ[1]

ประวัติศาสตร์สากล


ในต่างประเทศ มีกษัตริย์นักรบหลายพระองค์ที่ใช้ช้างในสงครามและกระทำยุทธหัตถี เช่น พระเจ้าเปารยะ แห่งอินเดีย ที่ใช้กองทัพช้างสู้กับกองทัพของอเล็กซานเดอร์มหาราช ในพม่า พระเจ้าบุเรงนองและพระเจ้านันทบุเรงต่างก็เคยกระทำยุทธหัตถีและได้รับชัยชนะมาแล้วอย่างงดงามทั้ง 2 พระองค์ ในสิงหล พระเจ้าทุฏฐคามณิอภัย ก็กระทำยุทธหัตถีชนะ พระเจ้าเอเฬละ ของทมิฬ เป็นต้น